นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนมิ.ย.66 อยู่ที่ระดับ 94.1 ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 92.5 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน โดยเมื่อพิจารณาในองค์ประกอบของค่าดัชนีฯ พบวว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีฯ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ ทั้งการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคก่อสร้างขยายตัวโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์และโครงการภาครัฐ นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาท และอัตราค่าระวางเรือที่ลดลง ช่วยสนับสนุนภาคการส่งออก
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กดดันกำลังซื้อในประเทศ ขณะที่ภาคการส่งออกยังคงชะลอตัว เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่อ่อนแอลง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อาเซียน และยุโรป ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังกดดันราคาพลังงานโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจการเงินโลก
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 102.1 ปรับตัวลดลงจาก 104.3 ในเดือนพ.ค. เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง และความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล ตลอดจนการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจจีน ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก รวมถึงวิกฤติภัยแล้งที่เกิดจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ผู้ประกอบการยังมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
*หวังได้รัฐบาลใหม่ตามไทม์ไลน์ ล่าช้ากระทบเศรษฐกิจ
นายเกรียงไกร คาดการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ภายในเดือน ส.ค.66 ซึ่งหากล่าช้าออกไปจะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อย่างเช่นกรณีการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนที่ปรับตัวลดลงไปมาก
ส่วนกรณีที่มีข้อเสนอให้รอ สว.หมดวาระในอีก 10 เดือนนั้น ตนเคารพการตัดสินใจทางการเมืองทุกรูปแบบ แต่ในส่วนของนักลงทุนไทย หรือญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกับบรรยากาศทางการเมืองจะสามารถรอได้นาน 6 เดือนถึง 1 ปี แต่หากเป็นนักลงทุนจากสหรัฐฯ หรือยุโรปที่ไม่คุ้นเคยกับการเมืองไทยอาจรอได้แค่ 1-2 เดือนเท่านั้น